เผยแพร่: ปรับปรุง:
ผู้จัดการุดสัปดาห์ – มหาอุทกภัยในปี 2565 แม้ว่าภาพรวมจะไม่เทียบเท่าปี 2554 แต่บางพื้นที่กลับหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าอย่างจังหวัดอ่างทองที่ระทมหนัก ถึงขนาดชาวบ้านต้องพังแบริเออร์ขวางทางน้ำไหลออกทุ่งและฟาร์มเลี้ยงนกกะทาใหญ่สุดในอาเซียนตายเป็นเบือนับแสนตัว ขณะที่อุบลฯ ยังจมบาดาลเศรษฐกิจพังพินาศ ส่วนเมืองท่องเที่ยวหลักอย่างภูเก็ตก็เจออุทกภัยนักท่องเที่ยวหนีน้ำกันอลม่านเลยทีเดียว
สภาพการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของทางการยังช้าอืดอาด บางพื้นที่ลอยคอกันนานเป็นเดือนๆ แล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะทุเลาลง แม้ว่าบรรดาลุงๆ ทั้ง “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ “ลุงป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.) จะลงพื้นที่ติดตามการแก้ไขสถานการณ์ และความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนก็ตาม
ภาพตัดกลับมาที่ห้องประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) เมื่อวันที่ 19 ตุลาคมที่ผ่านมา ที่มีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นั่งหัวโต๊ะเป็นประธานการประชุม ได้มีการเคาะผ่าน “ร่างแผนแม่บทน้ำ 20 ปี ฉบับปรับปรุงใหม่” ซึ่งหนึ่งในเป้าหมายคือการลดความเสียหายจากอุทกภัยลดลง บริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนภายใต้การพัฒนาอย่างสมดุลโดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ซึ่งฟังๆ แล้วคล้ายจะเป็นการวาดแผนสวยหรูเมื่อดูจากสภาพความเป็นจริงที่ประชาชนกำลังประสบอยู่ในเวลานี้
อย่าง จังหวัดอ่างทอง ที่น้ำไหลบ่าท่วมอย่างรวดเร็ว กระทั่ง นายภราดร ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง และโฆษกพรรคภูมิใจไทย ที่มาดูสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่เมื่อวันที่ 20 ต.ค. บริเวณสามแยกป่างิ้ว อำเภอเมือง จังหวัดอ่างทอง ระบายแทนคนในพื้นที่ว่า สถานการณ์น้ำท่วมจังหวัดอ่างทอง ตอนนี้น้ำท่วมไปแล้ว 6 อำเภอเกือบจะทุกหมู่บ้าน เหลือเพียงอำเภอสามโก้ ที่ยังไม่ได้ท่วม ขอคำตอบ การบริหารจัดการน้ำ “สทนช.” ให้คน จังหวัดสิงห์บุรี อ่างทอง และพระนครศรีอยุธยา ว่าบริการจัดการน้ำกันอย่างไร น้ำถึงท่วมหนักขนาดนี้
“ทางผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต้องตอบคำถามว่าการจัดการบริหารน้ำแบบนี้ว่ามันถูกต้องหรือไม่ เป็นคำถามที่คนอ่างทองรอคำตอบจากท่านอยู่ในตอนนี้” นายภราดร ตั้งคำถามและรอคำตอบ
หากจับอาการของโฆษกพรรคภูมิใจไทย ด้านหนึ่งก็ใช่ที่เมื่อเวลา ส.ส.ลงพื้นที่ก็ต้องพูดเอาใจพี่น้องประชาชนเพื่อเก็บแต้ม แต่หากมองอีกด้าน ต้องไม่ลืมว่า “สทนช.” หรือ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ นั้นอยู่ในการกำกับดูแลของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ การแซะเล็กๆ ระหว่างพรรคร่วมที่กอดคอร่วมหัวจมท้ายกันมาก็ทำให้อดแปลกใจไม่ได้ว่ามีอะไรในกอไผ่หรือไม่ เพราะถ้าไม่มีย่อมตีความได้ว่า การบริหารจัดการน้ำของ สนทช.ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อประสานช่องโหว่ของหน่วยงานน้ำทุกหน่วยในประเทศไทยนั้น มีปัญหา และกระทั่ง ณ เวลานี้ ก็ยังไม่รู้ว่า ปัญหาอยู่ที่ตรงไหน
อย่างไรก็ตาม คำถามที่คนอ่างทอง สิงห์บุรี พระนครศรีอยุธยา อยากรู้ ยังไม่มีใครแอ่นอกออกตอบอย่างชัดเจน มีแต่เพียงว่า กรมชลประทานกำลังปรับลดการระบายน้ำ โดยคาดการณ์ว่าในช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้ แนวโน้มสถานการณ์น้ำที่เขื่อนเจ้าพระยาจะมีปริมาณน้ำไหลผ่านต่ำกว่า 2,700 ลบ.ม.ต่อวินาที ซึ่งจะทำให้ระดับน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยา เริ่มลดลงต่ำกว่าตลิ่งตามศักยภาพของแม่น้ำแต่ละช่วง จากนั้นจะเร่งสูบระบายน้ำออกจากพื้นที่ลุ่มต่ำจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ
ความตึงเครียดของชาวบ้านจากสถานการณ์น้ำท่วมสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ชาวบ้านหมู่ที่ 1 ต.ป่างิ้ว อ.เมือง จ.อ่างทอง รวมตัวกันพังแนวแบร์ริเออร์กลางถนนสายอ่างทอง-โพธิ์ทอง เมื่อวันที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา หลังมีเจ้าหน้าที่นำแท่งปูนแบร์ริเออร์มาตั้งไว้เพื่อป้องกันน้ำที่ล้นจากทุ่งลำท่าแดง ไหลบ่าข้ามถนนทำให้ระดับน้ำที่ท่วมอยู่ทางด้านฝั่งตะวันออกของถนนเพิ่มปริมาณสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว บางจุดสูงกว่า 2 เมตร และยังเพิ่มระดับขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ชาวบ้านเกิดความเครียดจนทนไม่ไหวเพราะเหมือนถูกกักอยู่ในน้ำ โดยชาวบ้านใช้มือช่วยกันผลักแทงแบร์ริเออร์ให้ล้มลงเพื่อให้น้ำไหลผ่าน
ชาวบ้านรายหนึ่งบอกว่า ระดับน้ำที่ไหลบ่าเข้ามารวดเร็วเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องซึ่งไม่รู้ว่าจะสูงเพิ่มขึ้นอีกเท่าไหร่แทนที่จะระบายน้ำลงทุ่งเพื่อที่จะช่วยเหลือชาวบ้านกลับนำแท่งแบร์ริเออร์มาปิดไว้ยิ่งทำให้น้ำเพิ่มสูง ชาวบ้านจะทนไม่ไหวอยู่แล้วเพราะบางบ้านน้ำท่วมสูงเกือบมิดหัวจึงอยากให้ระบายกันไปบ้าง
ขณะที่น้ำที่ไหลบ่าอย่างรุนแรง ทำให้เข้าท่วม ฟาร์มนกกระทา “อเนกฟาร์ม” สูงกว่า 3 เมตร ส่งผลให้นกกระทาตายเป็นจำนวนมากกว่า 2 แสนตัว โรงเรือน เครื่องจักร รถยนต์ อาหารสัตว์จมน้ำ สูง 1-2 เมตร ส่วนเส้นทางเข้าออกฟาร์มระยะทาง 1 กิโลเมตร น้ำท่วมสูงกว่า 2 เมตร ต้องใช้เรือในการเดินทางเข้าออกเท่านั้น โดยทางเจ้าหน้าที่พยายามนำเรื่องเข้าไปขนย้ายแต่ไม่ทันเนื่องจากน้ำมีความแรงแพลเพิ่มสูงอย่างรวดเร็ว ซึ่งทางฟาร์มได้ยกคันล้อมป้องกันน้ำท่วมไว้แล้วโดยใช้ระดับน้ำปี 2549-2554 เป็นเกณฑ์แต่ระดับน้ำปีนี้สูงกว่ามากทำให้ไม่สามารถสู้กับกับน้ำได้
นายเอนก สีเขียวสด เจ้าของฟาร์ม เผยว่า สถานการณ์น้ำท่วมเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง ทั้งๆ ที่ทำการเตรียมการป้องกันและรับมือไว้เป็นอย่างดี แต่น้ำมามากกว่าที่ประมาณการไว้ ความเสียหายในครั้งนี้รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท ทั้งตัวนก ไข่ มูลสัตว์ ทั้งไข่ที่ทำไว้แล้วในบรรจุภัณฑ์ อาหารสัตว์ เครื่องจักรที่ต้องสูญเสียไปในครั้งนี้
สถานการณ์เขื่อนเจ้าพระยาที่จังหวัดชัยนาท ณ วันที่ 20 ตุลาคม ลดการระบายน้ำลงต่อเนื่องโดยระบายน้ำอยู่ที่ 2,983ลบ.เมตร/วินาที น้ำเหนือเขื่อน 17.66 เมตร ท้ายเขื่อน 17.02 เมตร ทำให้ระดับน้ำที่สถานีชลมาตร C7A หน้าศาลากลางจังหวัดอ่างทอง อยู่ที่ 9.51 เมตร/รทก. น้ำไหลผ่าน 2,670 ลบ.เมตร/วินาที ขณะที่แม่น้ำน้อย ประตูระบายน้ำยางมณีน้ำเหนือประตู 9.84 เมตร ท้ายประตู 9.81 เมตร
รายงานแจ้งว่า น้ำส่งผลกระทบพื้นที่ใน 5 อำเภอของจังหวัดอ่างทองคือ อ.ไชโย อ.เมือง อ.ป่าโมก และลุ่มแม่น้ำน้อย ในอ.โพธิ์ทองและ อ.วิเศษชัยชาญ มีบ้านเรือนถูกน้ำท่วมแล้ว 44 ตำบล 234 หมู่บ้าน 12,505 หลัง และยังมีอีกหลายจุดที่น้ำล้นตลิ่งต่อเนื่อง
ขณะที่ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) รายงานพื้นที่ 6 ลุ่มน้ำเหนือตอนล่างและภาคกลาง เผยข้อมูลจากดาวเทียม COSMO-Skymed-1 เมื่อวันที่ 14 ต.ค.ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นพื้นที่น้ำท่วมขังบางส่วนในเขต ลุ่มน้ำปิง ลุ่มน้ำยม ลุ่มน้ำน่าน ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ลุ่มน้ำสะแกกรัง และลุ่มน้ำท่าจีน ทั้งสิ้น 1,178,025 ไร่ ส่วนใหญ่เป็นชุมชนที่อาศัยอยู่ริมน้ำ พื้นที่เกษตรกรรมลุ่มต่ำ และเส้นทางคมนาคมบางส่วน
ข้ามเขตไปดูที่ภาคอีสาน จังหวัดอุบลราชธานี ที่ระทมหนักกับน้ำท่วมขังเป็นวงกว้างมานานนับเดือน ซึ่งเมื่อวันที่ 18 ต.ค.ที่ผ่านมา พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพิ่งลงไปตรวจพื้นที่ ซึ่งหลังจากฟังรายงานสรุปแล้ว “บิ๊กป๊อก” ได้แต่บอกประชาชนชาวอุบลฯ ที่ทุกข์ระทมจากน้ำท่วมอยู่ในเวลานี้ต้องทำใจรับสภาพ
“…. ปีนี้น้ำท่วมอุบลราชธานีไม่เหมือนปี 2562 เพราะอุบลราชธานีมีทั้งฝนในพื้นที่ และเป็นที่รองรับน้ำจากทั้งแม่น้ำชี และแม่น้ำมูลตอนบนอีก ดังนั้นอุบลราชธานีต้องเผชิญน้ำท่วมอีกนาน…” พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว และกำชับให้หาอาหาร น้ำดื่ม ดูแลเรื่องห้องน้ำ ศูนย์พักพิง เร่งสูบน้ำท่วมขัง หลังสถานการณ์คลี่คลายก็ซ่อมบ้าน ดูแลเรื่องการทำเกษตรต่อไป ว่ากันไปเป็นงานรูทีน
สำหรับจังหวัดอุบลราชธานี ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำเอ่อล้นตลิ่งบริเวณที่ลุ่มต่ำไหลเข้าท่วมบ้านเรือนและพื้นที่การเกษตร ส่งผลให้ราษฎรได้รับความเดือดร้อนจำนวน 19 อำเภอ จากทั้งหมด 25 อำเภอ 42 ตำบล 253 หมู่บ้าน 18,178 ครัวเรือน 78,553 คน ถนน 157 สาย สะพาน/คอสะพาน 11 แห่ง วัด/ที่พักสงฆ์ 82 แห่ง รพ.สต. 7 แห่ง โรงเรียน 52 แห่ง ต้องอพยพจำนวน 253 หมู่บ้าน 11,248 ครัวเรือน 34,137 คน แยกเป็น ศูนย์พักพิงชั่วคราว 117 จุด จำนวน 5,465 ครัวเรือน 18,960 คน พักบ้านญาติ จำนวน 2,640 ครัวเรือน 6,914 คน และอพยพขึ้นที่สูง 3,143 ครัวเรือน 8,263 คน
นายมงคล จุลทัศน์ ประธานหอการค้าจังหวัดอุบลราชธานี กล่าวว่า น้ำท่วมปีนี้สร้างความเสียหายในระบบเศรษฐกิจของจังหวัดมากกว่าปี 2562 ซึ่งครั้งนั้นประเมินความเสียหายไว้ราว 5,800 ล้านบาท ส่วนปีนี้มีการคาดการณ์จะมีความเสียหายทั้งจากภาคเกษตรกรรม และการเสียโอกาสค้าขายของผู้ค้าในจังหวัดกับคู่ค้าในประเทศและประเทศเพื่อนบ้านประมาณ 6,500 ล้านบาท
นอกจากนั้น หอการค้าจังหวัดอุบลฯ จะเสนอให้รัฐบาลสร้างทางยกระดับถนนสถิตนิมานกาล ซึ่งเป็นถนนสายหลักเชื่อมเมืองคู่แฝดอำเภอวารินชำราบและอำเภอเมือง เพื่อไม่ให้ถูกน้ำท่วมจนใช้สัญจรไม่ได้ จนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม โดยไม่รอโครงการผันน้ำขนาดใหญ่ใช้แก้น้ำท่วมของรัฐบาลที่จะตามมาในอนาคตเพียงอย่างเดียว
ขณะเดียวกัน สมัชชาคนจน ออกแถลงการณ์กรณีเขื่อนกับการเมืองเรื่องน้ำท่วมอุบลฯ ปี 2565 ตั้งข้อสังเกตว่า น้ำท่วมใหญ่ในปีนี้สร้างความเสียหายในพื้นที่ภาคอีสานตอนล่างหลายจังหวัด และพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักสุดและยาวนานสุดคือ อุบลฯ ซึ่งดูเหมือนจะเกิดปัญหาน้ำท่วมบ่อยและซ้ำซากทุกปี ซึ่งน้ำท่วมปีนี้สาเหตุสำคัญประการหนึ่งคือเขื่อนปากมูลที่ทำให้น้ำท่วมเร็วและลดลงช้า จากการที่เขื่อนปากมูลไม่ยอมเปิดประตูระบายน้ำตามมติที่ประชุม ซึ่งกำหนดให้เปิดในวันที่ 12 มิถุนายน 2565แต่บ่ายเบี่ยงเลื่อนมาเปิดประตูเขื่อนในวันที่ 30 กรกฎาคม2565 และเขื่อนปากมูลยังขวางกั้นทางระบายน้ำที่จะไหลลงสู่แม่น้ำโขงจากความกว้างของลำน้ำมูน 400 เมตร เหลือเพียง 180 เมตร จึงทำให้การระบายน้ำลงแม่น้ำโขงได้น้อยมาก
นอกจากนั้น ยังมีข้อสังเกตด้วยว่า การบ่ายเบี่ยงเลี่ยงการเปิดประตูเขื่อนปากมูลที่ล่าช้า จนเกิดน้ำท่วมใหญ่ และตามมาด้วยการเสนออภิมหาโครงการ “คลองผันน้ำยักษ์” ด้วยงบประมาณ 45,000 ล้านบาท ทำให้เกิดความสงสัยว่าเป็นความบังเอิญหรือเป็นความจงใจ
คลองผันน้ำยักษ์ เป็นโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ มีความยาวเกือบ 100 กิโลเมตร ใช้งบประมาณจำนวนมากถึง 45,000 ล้านบาท แต่กลับไม่มีการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) และที่สำคัญปากคลองผันน้ำยักษ์ (จุดรับน้ำ) ก็อยู่เหนือจังหวัดอุบลราชธานี ห่างออกไปกว่า 30 กิโลเมตร และปลายคลองผันน้ำยักษ์ก็มาสุดในแม่น้ำมูน ห่างจากแม่น้ำโขงมากกว่า 30 กิโลเมตร ซึ่งเมื่อไม่สามารถส่งน้ำลงแม่น้ำโขงได้ ก็ไม่ได้แก้ปัญหาน้ำท่วมอุบลราชธานี
สมัชชาคนจน จึงเรียกร้องขอให้รัฐบาลมีการตรวจสอบประเด็นเรื่องการเปิดประตูเขื่อนปากมูลที่ล่าช้า กระทั่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ให้น้ำท่วมอุบลฯ และการผลักดันโครงการคลองผันน้ำขนาดยักษ์ดังกล่าว
ความเสียหายจากอุทกภัยที่เกิดขึ้นในแต่ละปี มีการพูดกันมานมนานว่าต้องการมีวางแผนการบริหารจัดการน้ำให้ดีขึ้นจากปัญหาที่ประสบอยู่ แต่เอาเข้าจริงก็ยังไม่ไปถึงไหนอย่างที่เห็นและเป็นอยู่อย่างพื้นที่อ่างทอง อยุธยา หรือแม้แต่อุบลราชธานี ที่ท่วมซ้ำซากทุกปีขึ้นอยู่กับว่าจะมากหรือน้อย
แต่กระนั้นหน่วยงานด้านการวางแผนเรื่องน้ำก็ว่ากันไป โดยตั้งเป้าหมายว่าจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ล่าสุด เมื่อวันที่ 19 ตุลาคมที่ผ่านมา พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ว่าที่ประชุมให้ความเห็นชอบ (ร่าง) แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (ปรับปรุงช่วงที่ 1 พ.ศ. 2566-2580) ที่ปรับปรุงกรอบแนวทางและค่าเป้าหมายตามกรอบวิสัยทัศน์ ทุกหมู่บ้านมีน้ำสะอาดอุปโภคบริโภค น้ำเพื่อการผลิตมั่นคง ความเสียหายจากอุทกภัยลดลง คุณภาพน้ำอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน บริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนภายใต้การพัฒนาอย่างสมดุลโดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำนวน 13 กระทรวง 51 หน่วยงาน
แผนบริหารจัดการน้ำ 20 ปี ที่ว่าปรับปรุงแล้ว ยังนำประเด็นสถานการณ์ปัจจุบันมาใช้วิเคราะห์สถานการณ์ด้านทรัพยากรน้ำ เช่น สถานการณ์ของโรคระบาด การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การแก้ปัญหาที่อาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน การปรับตัวโดยอาศัยระบบนิเวศ เศรษฐกิจหมุนเวียนและการฟื้นตัว การเชื่อมโยงตัวชี้วัดและเป้าหมายกับแผนระดับชาติและแผนระดับนานาชาติ
อีกทั้งมีการปรับปรุงกรอบแนวทางการพัฒนา จากเดิม 6 ด้าน เป็น 5 ด้าน ได้แก่ 1.การจัดการน้ำอุปโภคบริโภค 2.การสร้างความมั่นคงของน้ำภาคการผลิต 3.การจัดการน้ำท่วมและอุทกภัย 4.การอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศทรัพยากรน้ำ ซึ่งมีการควบรวมแผนแม่บทฯ เดิมด้านจัดการคุณภาพน้ำและอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ และการอนุรักษ์ฟื้นฟูสภาพป่าต้นน้ำที่เสื่อมโทรมและป้องกันการพังทลายของดินเข้าด้วยกัน เพื่อให้ครอบคลุมระบบนิเวศของต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ และ 5.การบริหารจัดการ
ที่ประชุมได้เน้นย้ำเรื่องการกำหนดเป้าหมายแต่ละระยะโดยนำงบประมาณมาพิจารณาประกอบ รวมถึงการปรับปรุงจำนวนกลยุทธ์ โดยเพิ่มกลยุทธ์เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การจัดการน้ำท่วมและอุทกภัยเกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงการจัดกลุ่มกลยุทธ์แผนแม่บทด้านบริหารจัดการให้สอดคล้องกับตัวชี้วัดธรรมาภิบาลด้านน้ำ
แผนที่สวยหรูที่ยังดูลอยๆ ต้องคอยติดตามว่าจะแปรออกมาเป็นรูปธรรมให้แก้ไขปัญหาได้จริงสักกี่มากน้อย ไม่เช่นนั้นแผนก็เป็นเพียงภาพฝันในอากาศ ขณะที่ประชาชนก็ระทมทุกข์กันไปเมื่อน้ำท่วม ภัยแล้ง มาเยือน