เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการแปรรูปอาหาร เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ประมงตลอดห่วงโซ่อุปทาน พร้อมต่อยอดสู่สินค้าเกษตรที่มีมูลค่าสูง สร้างโอกาสในการแข่งขัน รุกตลาดออนไลน์และออฟไลน์ วรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมมุ่งมั่นขับเคลื่อนนโยบายอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตรไปสู่การปฏิบัติ โดยกำหนดแนวทางการส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมเกษตร
บนพื้นฐานความสมดุลเชิงพื้นที่ในการผลิตและแปรรูปสินค้าเกษตร ทั้งประเภทอาหาร ไม่ใช่อาหาร รวมถึงผลักดันให้อุตสาหกรรมมีความมั่นคงและเกิดความยั่งยืน ด้วยการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ยกระดับผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐานสากล ควบคู่ไปกับการพัฒนาช่องทางการตลาดในระดับต่างๆ โดยได้มอบหมายให้สถาบันอาหารดำเนินงานโครงการส่งเสริมการแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหารมูลค่าสูงจากผลผลิตประมงเพาะเลี้ยงด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ เพื่อสร้างความยั่งยืนในธุรกิจประมง
ในปีงบประมาณ 2565 วงเงิน 3,090,000 ล้านบาท กำหนดพื้นที่เป้าหมายดำเนินงานใน 10 จังหวัดภาคกลาง ประกอบด้วย จังหวัดสมุทรสงคราม สมุทรสาคร สมุทรปราการ นครปฐม พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี อ่างทอง ชัยนาท สิงห์บุรี และปทุมธานี ซึ่งเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่สำคัญของประเทศ โดยในปี 2564 พบว่า ผลผลิตประมงน้ำจืดในพื้นที่ภาคกลางสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการมูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ การดำเนินงานโครงการดังกล่าวในช่วงไตรมาสแรกมีความก้าวหน้าไปกว่า 36% มีผู้ประกอบการผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ จำนวน 14 กิจการ อาทิ ผู้ประกอบการเพาะเลี้ยงปลานิล ปลากะพง หอยเชลล์ ปลาดุก ปลาสลิด ปลาช่อน ปลากระดี่ เป็นต้น โดยผู้ที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี แนะนำพัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์จนได้สูตรและเข้าสู่กระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารจากสัตว์น้ำ
แปรรูปพร้อมทานออกสู่ตลาด อาทิ ผลิตภัณฑ์ปลาช่อน ปลาสลิดแดดเดียว พัฒนาไปเป็นปลาช่อนแม่ลาเค็มน้อย ผลิตภัณฑ์ปลานิลแดดเดียวพัฒนาไปเป็นน้ำพริกปลาย่างแห้ง ผลิตภัณฑ์ปลาเค็มรวนพร้อมทานพัฒนาไปเป็นซุปผักปลาก้อน ผลิตภัณฑ์ปลาหมึกกรอบปรุงรสพัฒนาไปเป็นสแน็กขอบหอยเชลล์ ผลิตภัณฑ์ปลาดุกเส้นทอดพัฒนาไปเป็นปลาดุกหยอง
ผลิตภัณฑ์ปลาช่อนแม่ลาแดดเดียวพัฒนาไปเป็นปลาช่อนแม่ลาแดดเดียวสมุนไพร ผลิตภัณฑ์ปลาสลิดแดดเดียว ปลาสลิดทอดกรอบ น้ำพริกปลาสลิด พัฒนาไปเป็นสแน็กจากก้างปลาสลิด ข้าวเกรียบปลาสลิด และผลิตภัณฑ์ปลาร้า น้ำปลาร้า พัฒนาไปเป็นปลาร้าผงอัดก้อน เป็นต้น ซึ่งนอกจากจะช่วยสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการโดยตรงแล้ว ยังมีส่วนช่วยกระจายรายได้ให้กับชุมชนอีกด้วย
มั่นใจได้เลยว่าหากทุกอุตสาหกรรม หรือทุกกลุ่มผู้ประกอบการ สามารถนำเครื่องมือหรือช่องทางในการต่อยอดธุรกิจมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ จะส่งผลให้ธุรกิจนั้นๆ เพิ่มมูลค่าให้สูงมากขึ้น และสร้างความยั่งยืนของธุรกิจ รวมถึงสร้างโอกาสทางการตลาดโดยการเชื่อมโยงกับคู่ค้าและเพิ่มมูลค่าให้กับพื้นที่ในเขตจังหวัดนั้นๆ ได้แน่นอน.
ณัฐวัฒน์ หาญกล้า
