น้ำท่วมหลายพื้นที่ยังต้องเฝ้าระวัง

ข่าวภาคค่ำ – กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ เฝ้าติดตามสถานการณ์น้ำเจ้าพระยาอย่างใกล้ชิด พร้อมแจ้งเตือน 9 จังหวัดท้ายเขื่อนเฝ้าระวังระดับน้ำสูงขึ้นอีก ขณะที่ นักเศรษฐศาสตร์ประเมินความเสียหายไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท

พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ลงพื้นที่ตรวจสถานการณ์น้ำท่วมที่จังหวัดนครราชสีมา พร้อมตรวจการซ่อมแซมแนวคันกั้นน้ำบริเวณก่อสร้างอาคารบังคับน้ำอ่างเก็บน้ำลำเชียงไกรตอนล่าง หลังถูกน้ำกัดเซาะเสียหาย เนื่องจากมวลน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำลำเชียงไกรตอนบน และไหลต่อมายังอ่างลำเชียงไกรตอนล่าง จำนวนมาก กรมชลประทาน จำเป็นต้องเปิดช่องทางระบายน้ำออกจากอ่างเพิ่มเติมเพื่อระบายน้ำออก ไม่ได้เกิดจากอ่างเก็บน้ำแตกแต่อย่างใด

ขณะที่ตอนนี้ยังคงมีพื้นที่น้ำท่วม 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอโนนสูง, โชคชัย, ด่านขุนทด และอำเภอเมือง พร้อมสั่งให้ทุกหน่วยงานเร่งช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ และหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้น เพื่อให้กลับคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็ว

ด้าน กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ เฝ้าติดตามสถานการณ์น้ำเจ้าพระยาอย่างใกล้ชิด พร้อมแจ้งเตือน 9 จังหวัดท้ายเขื่อน ได้แก่ จังหวัดชัยนาท, สิงห์บุรี, อ่างทอง, ลพบุรี, อยุธยา, สระบุรี, นนทบุรี, ปทุมธานี และกรุงเทพฯ ตั้งรับสถานการณ์น้ำท่วมช่วงวันที่ 1-5 ตุลาคมนี้ เนื่องจากเขื่อนต้องเร่งระบายน้ำ โดยเฉพาะเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ขณะนี้้น้ำเกินความจุ 100% แล้ว

ด้าน กรมชลประทาน เผยยังเหลือเวลาอีก 31 วัน ไทยจะสิ้นสุดฤดูฝน ซึ่งปริมาณน้ำที่ใช้การได้ในเขื่อนมีเพียง 33% ความจุ เพราะฝนที่ตกส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ท้ายเขื่อนฯ

อัปเดตสถานการณ์ระดับน้ำแม่น้ำเจ้าพระยาในกรุงเทพฯ จากสถานีวัดระดับน้ำหลัก 3 แห่ง ยังอยู่ในระดับที่สูง แต่ยังต่ำกว่าแนวคันกั้นน้ำมากกว่า 2 เมตร 

อาทิ สถานีสูบน้ำปากคลองตลาด น้ำขึ้นสูงสุด 80 เซนติเมตร จากระดับทะเลปานกลาง ส่วนสถานีสูบน้ำบางเขนใหม่ บริเวณสะพานพระราม 7 ระดับน้ำสูงสุด 1 เมตร 6 เซนติเมตร จากระดับทะเลปานกลาง

 

กรุงเทพฯ ได้จัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังระดับน้ำ และเตรียมพร้อมเครื่องสูบน้ำสำรอง และกระสอบทรายในจุดเสี่ยงริมแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมแจ้งเตือนหากระดับน้ำสูงขึ้น เพื่อป้องกันได้อย่างทันท่วงที

ด้าน หอการค้าไทย ประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจไทยจากสถานการณ์น้ำท่วม คาดว่าจะมากกว่า 15,000 ล้านบาท แนะรัฐบาลเร่งอัดฉีดเม็ดเงินลงไปทดแทนให้เร็วที่สุด